Knowledge

Digital Marketing ติดปีกการตลาดในยุคดิจิตอล

โพสต์เมื่อ 4 มิถุนายน 2558

"เราไม่ได้กำลังทำการตลาดในโลกของการตลาดแต่เรากำลังทำการตลาดในโลกที่ถูกโอบล้อมด้วยดิจิตอล”

     ดิจิตอลในยุคปัจจุบันนั้นมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยเห็นได้จากอัตราการเข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟนในช่วง 2-3 ปีหลังนี้ มีอัตราเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด โดยในปี 2012 มีอัตราการเข้าถึงอยู่ที่ 22 % แต่ในปี 2013 กลับเพิ่มขึ้นกว่า 3เท่าตัวมาอยู่ที่ 69.9% และปีล่าสุดปี 2014 ยังคงเพิ่มขึ้นเป็น 77.7% ซึ่งจากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอีกด้วย คุณณัฐพัชญ์ วงษ์เหรียญทอง Vice President-Head of Online Marketing บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC แสดงแนวคิดเกี่ยวกับการตลาดในยุคดิจิตอลปัจจุบัน ไว้ว่า “เราควรที่จะกำหนดกรอบความคิดของเราให้ดีและชัดเจน เหมือนที่ทางดีแทคได้กำหนดไว้ว่า จริงๆแล้วเราไม่ได้กำลังทำการตลาดในโลกของการตลาดแต่เรากำลังทำการตลาดในโลกที่ถูกโอบล้อมด้วยดิจิตอล”

     “เราต้องมี Mindset ข้อนี้ชัดเจน เพราะเรากำลังอยู่ในยุคของการเปลี่ยนผ่านครั้งรุนแรงของโลก ด้วยสิ่งที่อยู่ในมือถือ การมีอินเตอร์เน็ตไม่ได้แปลว่ามีช่องทางการตลาดเฉยๆ แต่กำลังพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของผู้บริโภค มันคือวันที่เขามีอำนาจ  คือวันที่ธุรกิจไม่ได้มีอำนาจ แต่มันคือวันที่ผู้บริโภคมีอำนาจ ณ ปัจจุบันมีคนซื้อของออนไลน์มากว่า 80-90 % ทำให้อำนาจเปลี่ยนมาอยู่ในมือของผู้บริโภค ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น สามารถซื้อสิ่งที่อยากจะซื้อ อำนาจในการหาข้อมูล ในการทำธุรกรรมต่างๆ จะเปลี่ยนไป และจะเริ่มเห็นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งจะสอดรับกับพฤติกรรมทุกๆ อย่างในชีวิต ทำให้ธุรกิจต่างๆ ต้องปรับตัวตามผู้บริโภคและเข้าใจผู้บริโภคอย่างแท้จริง”

     ดังนั้นผู้ทำธุรกิจจึงต้องมีการวิเคราะห์ว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคในแต่ละกลุ่มให้ออก และต้องทำความเข้าใจในพฤติกรรมแต่ละอย่างของผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง โดยอาจอาศัยการเข้าไปมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคเพื่อศึกษาและทำความเข้าใจผู้บริโภค

     “เราควรใช้ประโยชน์จากการที่คนในยุคปัจจุบันชอบแชร์เรื่องราวหรือประสบการณ์ต่างๆ ว่าเขารู้สึกอย่างไรผ่านช่องทางต่างๆ มาเป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์ได้ ซึ่งใครสามารถตีโจทย์ได้เร็วกว่าจะยิ่งได้เปรียบ เนื่องจากการคิดนานเท่ากับเป็นการเสียโอกาส แต่การคิดเร็วแล้วลงมือทำเลยหากมันไม่ดี เราก็สามารถเปลี่ยนไปทำวิธีการใหม่ๆ ได้ ทำให้เรามีโอกาสมากกว่าคนที่ตัดสินใจลงมือทำอะไรช้า ดังนั้นเราจึงควรที่จะต้องมีการปรับตัวไปตามสถานการณ์อย่างรวดเร็วอยู่เสมอ โดยหากเราอยากจะเข้าใจและได้ประโยชน์จากดิจิตอลให้มากที่สุด เราก็ควรที่จะทำตัวเป็นดิจิตอล”

"หากเราอยากจะเข้าใจและได้ประโยชน์จากดิจิตอลให้มากที่สุด เราก็ควรที่จะทำตัวเป็นดิจิตอล”

      นอกจากนี้คุณณัฐพัชญ์ยังกล่าวถึงสิ่งที่เราควรทำในยุคดิจิตอลแบบนี้ว่าคือการเข้าใจในลูกค้าว่าไม่มีลูกค้า mass อีกต่อไป มีแต่กลุ่มย่อยๆมารวมตัวกัน ต้องรู้ให้ได้ว่ากลุ่มของลูกค้าเป็นใคร มีกี่กลุ่ม แต่ละกลุ่มมีบุคลิกลักษณะแบบไหน มีพฤติกรรมอย่างไร เสพสื่อแบบไหน กระบวนการตัดสินใจของเขาเป็นอย่างไร และหาวิธีเข้าไปอยู่ในแต่ละสภาวะของลูกค้า ไม่ว่าลูกค้าจะชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร สนใจสิ่งไหนอยู่ หากสามารถเข้าไปมีส่วนร่วม เข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของลูกค้า นอกจากจะได้รู้จักลูกค้ามากขึ้นแล้วยังสามารถเข้าไปใกล้ชิดลูกค้าได้ยิ่งขึ้นอีกด้วย

     “และสิ่งที่สำคัญอีกข้อหนึ่งคือการเก็บรวบรวมข้อมูล ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าการเก็บข้อมูลดีจะมีผลดีเสมอไป แต่การเก็บข้อมูลที่ดีไว้แล้วต้องมีการนำมาวิเคราะห์ เพื่อให้สามารถบอกได้ว่าข้อมูลมีประโยชน์อย่างไรแล้วจะนำมาใช้กับองค์กรให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร”

     นอกจากนี้คุณณัฐพัชญ์ยังทิ้งท้ายในเรื่องความสำคัญของคนรุ่นใหม่ในยุคดิจิตอลที่ถือเป็นจักรกลสำคัญในการทำการตลาดยุคนี้ไว้ด้วยว่า “อีกส่วนนึงที่เราไม่ควรมองข้ามคือการดูแลและบริหารจัดการคน โดยฉพาะกลุ่มเด็กรุ่นใหม่นั้น มักจะถูกมองจากผู้ใหญ่ว่าเป็นเด็กที่มีความมั่นใจ เอาแต่ใจตัวเอง เรียกเงินเดือนสูงๆ และชอบทำตัวเป็นปัญหา แต่แท้จริงแล้วหากคุณอยากที่จะเข้าใจดิจิตอลคุณก็ควรที่จะเข้าใจเด็กกลุ่มนี้ เนื่องจากงานวิจัยและผลสำรวจต่างๆ ได้แสดงให้เห็นว่ากลุ่มคนเหล่านี้นี่แหละเป็นกลุ่มคนที่มีความสามารถอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นคุณจะต้องหาทางทำความเข้าใจเขาและหาวิธีที่จะใช้เขาให้เกิดประโยชน์ โดยอย่ามองว่าขาเป็น cost ของคุณ แต่ให้มองเสมือนว่าเขาเป็น asset ที่คุณจะต้อง Invest แทน”